Your browser does not support JavaScript!

รีวิวบริษัท Lalamove กับ Deliveree เทียบราคา-บริการ (Part 2)

ในบทความที่แล้ว เราได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัท Lalamove และ Deliveree ซึ่งเป็นบริษัทส่งของสองเจ้าใหญ่ที่ให้บริการในไทย และเราก็ได้ทำการทดลองใช่บริการส่งของด่วนจากทั้งสองเจ้าเพื่อทำการรีวิวครั้งนี้ ตามที่ได้เกริ่นในท้ายบทความ รีวิว Lalamove กับ Deliveree แอปส่งของยอดนิยม (Part 1) Deliveree ได้คะแนนการให้บริการดีกว่า Lalamove แต่ Lalamove ได้เอาชนะในส่วนของการออกแบบแอปฯ และวิธีชำระเงิน เรามาดูการให้คะแนนโดยละเอียดตามตารางด้านล่างพร้อมการรีวิวบริการ

 

Lalamove Vs Deliveree Score Table

 

เปรียบเทียบบริการส่งของด่วน

 

ราคา

ราคาเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการและหลายๆ คนให้ความสำคัญ ตอนเราทำการส่งของ เราพบว่า Lalamove ราคาแพงกว่าราคาของ Deliveree โดย Deliveree นั้นถูกกว่า ตั้ง 50 บาท เราจ่าย Deliveree 1,005 บาท ซึ่งรวมบริการช่วยยกขนของจากคนขับและผู้ช่วยอีกคน อย่างไรก็ตาม หากเรียกรถในระยะทางไกลกว่านี้ ราคาของทั้งสองเจ้าค่อนข้างสูสีกันเลยทีเดียว

Lalamove ราคาขนส่งเริ่มต้นที่ 48 บาท + 7.2 บาท/กม. สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ รถ 5 ประตู้ เริ่มต้นที่ 150 บาท + 12 บาท/กม. และ รถกระบะเริ่มต้นที่ 360 บาท + 15 บาท/กม. ส่วนของ Deliveree ราคาขนส่งเริ่มต้นที่ 45 บาท + 8 บาท/กม. สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ รถอีโคคาร์ (รถ 4 และ 5 ประตู้) เริ่มต้นที่ 140 บาท + 11 บาท/กม. รถปิคอัพ เริ่มต้นที่ 300 บาท + 14 บาท/กม. รถกระบะตู้ทึบ เริ่มต้นที่ 380 บาท + 15 บาท/กม. และ รถหกล้อ เริ่มต้นที่ 2,100 บาท + 18 บาท/กม. จะเห็นได้ว่าถ้าเปรียบเทียบราคาขนส่งรถประเภทมอเตอร์ไซค์และรถเก๋ง Lalamove ราคาขนส่งแพงกว่าตั้งแต่ราคาเริ่มต้น

 

คุณภาพคนขับ

เมื่อเราได้ทำการเรียกรถและมีคนขับรับงาน คนขับของทั้งสองเจ้าก็ได้โทรคอมเฟิร์มข้อมูลการรับงานตาม

โพรเซสทั่วไป แต่ที่น่าตกใจคือ คนขับ Lalamove ได้แจ้งเราว่าอาจไปถึงจุดรับช้าหน่อย เพราะเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ซึ่งเขาก็มาถึงจุดรับของช้ากว่าเวลาที่ระบุบนแอปฯ จริง ๆ 30 นาที ต่างจาก Deliveree ที่มาถึงจุดรับของใกล้เคียงเวลาที่ระบุบนแอปฯ อาจช้าประมาณ 5 นาที เพราะฉะนั้น Deliveree ได้คะแนนไปเต็มๆ สำหรับคุณภาพคนชับ

 

ประกันสินค้า

Deliveree มีประกันสินค้าให้ลูกค้าแบบฟรี ๆ เริ่มต้นที่ 4,500 สำหรับลูกค้าทั่วไป และ สูงสุด 500,000 บาท สำหรับลูกค้าธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ดีมากสำหรับลูกค้า ส่วนบริษัท Lalamove นั้น ก็มีประกันสินค้าให้ลูกค้าเช่นกัน โดยเริ่มต้นที่ 3,000 บาท สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ และ 7,000 บาท สำหรับรถประเภทอื่น ๆ ลูกค้าธุรกิจสามารถรับยอดประกันสินค้าที่สูงขึ้นหรือซื้อยอดประกันสินค้าสูงสุด 300,000 บาท ในราคา 300 บาท

 

พื้นที่ให้บริการ

อีกครั้ง Deliveree ได้เอาชนะในส่วนของพื้นที่ให้บริการ เพราะสามารถให้บริการส่งของด่วนควบคุมทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล ชลบุรี และยังสามารถส่งของไปต่างจังหวัดทั่วไทยอีกด้วย ในขณะที่ Lalamove ส่งของได้เพียงในกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น ต้องยกมือให้ Deliveree จริงๆ ที่เปิดบริการได้ทั่วถึงขนาดนี้

 

การออกแบบแอปฯ

หลังจากเราได้ลองใช้แอปฯ Lalamove ส่งของ และ Deliveree เราก็ได้เข้าไปดูในเว็บไซต์ของทั้งคู่ด้วย ถ้าดูจากการออกแบบแอปฯ Lalamove ได้ชนะอย่างเห็นได้ชัด ดีไซน์เรียบง่าย ใช้ง่าย และยังมีฟีเจอร์ “import” ที่สามารถดึงข้อมูลการจองที่คุณได้ทำผ่านเว็บไซน์ลงแอปฯ อีกด้วย ในส่วนของแอปฯ Deliveree นั้นอาจทำมาเพื่อการใช้งานสำหรับธุรกิจมากกว่า

 

ฟีเจอร์แอปฯ

สิ่งหนึ่งที่ชัดและเป็นจุดเด่นของแอปฯ Deliveree คือ ฟีเจอร์ต่างๆ ที่ให้ความมั่นใจถึงความปลอดภัยของสินค้าที่เราส่ง ตอนที่รถมารับของ เราต้องทำการถ่ายรูปสินค้า และสามารถถ่ายมากถึง 3 รูป ซึ่งดีมากสำหรับการขนส่งแบบธุรกิจ เพราะปลายทาง สามารถตรวจสอบได้ว่าได้รับของครบและอยู่ในสภาพตามที่คนขับได้รับมาหรือเปล่า เราคิดว่า Deliveree อาจเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีฟีเจอร์นี้ อีกฟีเจอร์หนึ่งที่เราชอบคือ การเซ็นบนแอปฯ เพื่อยืนยันการส่งและรับของ ซึ่งมีอยู่ในทั้งสองแอปฯ

 

วิธีชำระเงิน

ทุกวันนี้ ระบบไร้เงินสดเป็นอะไรที่หลายๆ คนชอบ ซึ่ง บริษัท Lalamove ได้เอาชนะในส่วนนี้ โดยมีระบบชำระเงินด้วยอีวอลเล็ต ที่สามารถเต็มในจำนวน 3,000 บาท 5,000 บาท และ 10,000 บาท ผ่านออนไลน์แบงค์กิ้ง หรือด้วยบัตรเดบิตและเครดิตของธนาคารที่รวม ปัจจุบัน ลูกค้า Deliveree สามารถชำระบริการด้วย เงินสดเท่านั้น แต่สำหรับลูกค้าธุรกิจ สามารถเลือกการชำระแบบวางบิล ที่มาพร้อมกับทางเลือกโปรแกรมธุรกิจ

 

Lalamove Wallet Top-up

 

การบริการลูกค้า

ทั้งสองแอปมีช่องทางบริการลูกค้าผ่านโทรศัพท์และอีเมล แต่ตอนที่เราได้ลองโทรเข้า CS พบว่า CS Deliveree รับสายเร็วกว่า Lalamove ประมาณ 1 นาที นอกจากนี้ เรารู้สึกว่าปุ่มแสดงบนแอปฯ สำหรับโทรออกของ Lalamove ไม่ชัดเจน และ เราต้องรอถึง 2 นาทีกว่าจะมีเจ้าหน้าที่รับสาย พอรับก็ไม่เป็นมิตรเท่าไร ในส่วนนี้ เรามองว่าทั้งสองเจ้าสามารถรับสายโทรเข้าได้เร็วกว่านี้ แต่อย่างน้อย เจ้าหน้าที่ CS ของ Deliveree พยายามให้คำแนะนำและเป็นมิตรกับลูกค้า

 

บริการเสริม

นอกเหนือจากบริการขนส่ง ทั้งสองแอปฯ มีบริการเสริมอีกมากมายที่ทำให้การขนส่งง่ายขึ้นสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นการส่งของหลายๆ จุด บริการเก็บเงินปลายทาง และผู้ช่วยขนของ

เราเองก็ได้ทดลองบริการเสริมของทั้งสองเจ้าด้วยบริการเสริมผู้ช่วยยกของ สิ่งที่เกิดขึ้น คือคนขับ Deliveree มาถึงจุดรับของด้วยเด็กรถหนึ่งคน และก็ไปช่วยที่จุดส่งของด้วย แต่เด็กรถของ Lalamove มาช่วยแค่ที่จุดส่งของ ซึ่งเรามองว่าเป็นปัญหาแน่นอนถ้าของที่ต้องส่งนั้นใหญ่และหนักมาก หากไม่มีผู้ช่วยที่จุดรับ และในแง่ความคุ้มค่า เราจ่ายเงินเพิ่มไปเพื่อให้ได้คนช่วยยกทั้งสองจุด แต่กลับได้จริงแค่จุดเดียว จุดนี้เลยเป็นจุดใหญ่จุดหนึ่งที่ทำให้เราไม่มั่นใจกับบริการเสริมของ Lalamove เท่าไหร่

นี่คือบทสรุปของการรีวิวและเปรียบเทียบบริการแอป Lalamove ส่งของ และ Deliveree เราหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้บริการส่งของด่วนที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานของหลายๆ คน

ลิงก์อ้างอิง

www.lalamove.com/th-th/

www.deliveree.com/th/

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. Lalamove กับ Deliveree แอปไหนราคาถูกกว่ากัน

Deliveree มีราคาถูกกว่า Lalamove ในประเภทรถมอเตอร์ไซค์และรถเก๋ง ทั้งในส่วนราคาเริ่มต้นและราคาต่อกิโลเมตรเฉลี่ย ส่วนรถกระบะมีราคาค่อนข้างใกล้เคียงกัน สำหรับบริการเสริมต่างๆ ที่ทางแอปมีให้บริการ เช่น บริการเพิ่มจุดส่งของ Deliveree มีราคาต่อจุดที่ถูกกว่า 20 บาท หากส่งหลายจุดจะทำให้ราคาต่างกันค่อนข้างมากทีเดียว จึงเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้รถส่งของกระจายส่งสินค้าหลายๆ จุดในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม Lalamove มีให้บริการกล่องอาหารสำหรับมอเตอร์ไซค์ โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม จึงเหมาะกับการส่งอาหารพร้อมทานต่างๆ

2. Lalamove กับ Deliveree แอปไหนน่าใช้กว่ากัน

ทั้งสองแอปมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่หากเลือกจากจุดเด่นที่สำคัญ เช่น ราคา พื้นที่ให้บริการ และการบริการลูกค้าแล้ว Deliveree ถือเป็นแอปส่งของที่น่าใช้บริการมากกว่า เพราะราคาโดยเฉลี่ยถูกกว่า มีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมกว่า และบริการลูกค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมาก

เมชิตา ลาภสุวรรณ

อัพเดทล่าสุด 18 มกราคม 2019

เมชิตาเป็นบรรณาธิการของ Logisticsbid ประเทศไทยมาตั้งแต่ริเริ่ม โดยเธอสำเร็จการศึกษาด้านการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน และเป็นคนสำคัญในการคิดและนำเสนอเนื้อหาด้านโลจิสติกส์ที่เป็นประโยชน์