Your browser does not support JavaScript!

การติดตามยานพาหนะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในซัพพลายเชนได้อย่างไร

Supply Chain Logistics


บริษัทที่ดำเนินงานด้านซัพพลายเชนจะต้องมั่นใจอยู่เสมอว่าระบบโลจิสติกส์มีความทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

กระบวนการที่จะทำให้ระบบซัพพลายเชนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้นมีความซับซ้อน และการจัดการขั้นตอนที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเพื่อส่งผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนให้กับลูกค้าสามารถประสบปัญหาได้ในทุกขั้นตอน หากผู้จัดการซัพพลายเชนสามารถมีข้อมูลที่เพียงพอในแต่ละขั้นตอน จะนำไปสู่บริการจัดส่งที่ดีขึ้น

หนึ่งในปัญหาสำคัญในซัพพลายเชน คือการควบคุมต้นทุน เช่น ในบริษัทขนาดใหญ่ที่ระบบซัพพลายเชนเกี่ยวข้องกับยานพาหนะในเชิงพาณิชย์หลายร้อยคัน ต้นทุนจากการใช้ยานพาหนะเหล่านี้สามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดการด้านการเงินของบริษัท การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสูง มักเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ด้วยการนำเทคโนโลยีการติดตามยานพาหนะมาใช้ จะทำให้ผู้จัดการขนส่งสามารถจัดการหาวิธีควบคุมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีขึ้น 

 

ขั้นตอนแรก หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ในยานพาหนะ ผู้จัดการขนส่งจะสามารถเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากที่แสดงถึงกิจกรรมของผู้ขับรถแต่ละคนและข้อมูลในภาพรวม และสามารถระบุคนขับรายคนที่อาจใช้เชื้อเพลิงไม่เหมาะสม หลังจากระบุคนขับได้ก็สามารถออกแบบการฝึกอบรมเฉพาะ เพื่อช่วยปรับปรุงการขับขี่เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้

อีกช่องทางที่ระบบการติดตามยานพาหนะช่วยปรับปรุงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงคือ การควบคุมระบบในห้องโดยสาร คือระบบจะทำการแจ้งเตือนคนขับเมื่อมีการใช้เชื้อเพลิงสูง เช่น การขับรถด้วยความเร็วสูง การเร่งความเร็ว หรือการจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ดับเครื่อง ผ่านเสียงและสัญลักษณ์ภาพ ผู้ขับก็สามารถรับรู้ และปรับพฤติกรรมให้ขับรถในลักษณะที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 

จากการวิจัยพบว่า ผู้ขับที่ได้รับการแจ้งเตือนจะมีการจอดรถโดยไม่ดับเครื่องน้อยกว่าผู้ขับที่ไม่ได้รับการแจ้งเตือน ตลอดทั้งปี การปรับพฤติกรรมในลักษณะนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก ซึ่งองค์กรสามารถนำเงินที่ประหยัดได้นั้นมาลงทุนในการพัฒนาด้านอื่นๆ ในซัพพลายเชน เช่น การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ หรือกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถช่วยต่อยอดการพัฒนาซัพพลายเชนได้ทั้งระบบ

สินค้าสูญหาย หรือการวางผิดตำแหน่งเป็นปัญหาสำคัญสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานด้านซัพพลายเชน วิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้คือ การติดตามสินค้าโดยใช้ระบบ QR Code หรือ RFID เมื่อรวมสิ่งนี้เข้ากับระบบติดตามยานพาหนะ ผู้จัดการขนส่งก็สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้านั้นได้อย่างละเอียด หากสินค้านั้นไปไม่ถึงจุดส่งที่ต้องการ ก็สามารถติดตามได้ว่าสินค้านั้นถูกโหลดขึ้นรถคันไหน และรถคันนั้นไปที่ใด ด้วยวิธีนี้ก็สามารถระบุตำแหน่งสินค้านั้นและส่งกลับไปยังจุดส่งที่ถูกต้องได้

 

อีกสิ่งสำคัญคือ การจัดการให้ผู้ขับใช้เวลาและเส้นทางที่เหมาะสมและประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดระหว่างเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ถึงแม้กระบวนการในซัพพลายเชนส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินต่อไปได้หากสินค้าเกิดปัญหาการจัดส่งล่าช้า แต่สำหรับบริษัทขนาดเล็ก การล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปทั้งห่วงโซ่ซัพพลาย ​

ข้อมูลการติดตามยานพาหนะสามารถแสดงตำแหน่งปัจจุบันของยานพาหนะแต่ละคัน หากมีปัญหาในการระบุตำแหน่งยานพาหนะ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่งหรือการเข้ารับสินค้า  เทคโนโลยีการติดตามยานพาหนะจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากนี้ ผู้จัดการขนส่งสามารถออกแบบเส้นทางที่มีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัด ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งสำหรับการจัดการซัพพลายเชนที่ยานพาหนะสามารถไปยังจุดหมายได้โดยเร็ว และสำหรับการส่งขาสุดท้ายที่เป็นการส่งมอบของให้ลูกค้า ที่จะทำให้ผู้ขับขนส่งได้รวดเร็วและสามารถเพิ่มจำนวนการขนส่งในระหว่างวันได้อีกด้วย สิ่งนี้จะเป็นจะโยชน์อย่างมากในการพัฒนาบริการและความพึงพอใจของลูกค้า

โดยรวมแล้ว สำหรับบริษัทที่ดำเนินการด้านซัพพลายเชน การติดตั้งเทคโนโลยีติดตามยานพาหนะทางธุรกิจจะเป็นประโยชน์ในหลายๆ ด้านที่สำคัญ เมื่อมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับยานพาหนะของบริษัท ผู้จัดการขนส่งจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลผลิต สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะนำไปสู่การประหยัดทางการเงิน แต่ยังทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น จึงเป็นประโยชน์แก่บริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ลิงก์อ้างอิง: www.supplychaindigital.com/supply-chain-management/how-supply-chain-logistics-can-improve-vehicle-tracking

เมชิตา ลาภสุวรรณ

อัพเดทล่าสุด 20 สิงหาคม 2020

เมชิตาเป็นบรรณาธิการของ Logisticsbid ประเทศไทยมาตั้งแต่ริเริ่ม โดยเธอสำเร็จการศึกษาด้านการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน และเป็นคนสำคัญในการคิดและนำเสนอเนื้อหาด้านโลจิสติกส์ที่เป็นประโยชน์